วิตามินเค คืออะไร?

วิตามินเค จัดอยู่ในกลุ่มของวิตามินชนิดที่ละลายในไขมันเช่นเดียวกับวิตามิน A, D และ E วิตามินเค เป็นวิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งมีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้วิตามินเคยังมีบทบาทสำคัญในการบำรุงรักษาเนื้อเยื่อกระดูกให้เป็นปกติเนื่องจากวิตามินเคช่วยสนับสนุนการผลิตโปรตีนที่เรียกว่า osteocalcinซึ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับสุขภาพของกระดูก วิตามินเค ที่พบในธรรมชาติมีอยู่2รูปแบบคือวิตามิน K1 (phylloquinone) และวิตามิน K2 (menaquinone) และยังมีวิตามินเครูปแบบต่างๆที่ได้จาการสังเคราะห์ ซึ่งรูปแบบที่สามารถละลายในน้ำได้เรียกว่าวิตามิน K3 (menadione) ที่โดยปกติจะไม่ใช้ในการผลิตอาหารเสริม

แหล่งของวิตามิน K1ในธรรมชาติ จะพบในผักสีเขียวเข้ม ส่วนวิตามิน K2 ผลิตได้โดยแบคทีเรียในลำไส้ของเรา ซึ่งแบคทีเรียเหล่านี้ยังสามารถเปลี่ยนวิตามิน K1 ให้เป็นวิตามิน K2แบบต่างๆ ซึ่งในเด็กทารกยังไม่สามารถที่จะสร้างวิตามินเคได้ เรามักจะได้รับวิตามิน K1 และวิตามิน K2 ในปริมาณที่เท่าๆกัน วิตามินเคถูกค้นพบโดยนักชีวเคมีชาวเดนมาร์กชื่อ Henrik Dam ในปี พ. ศ. 2472 ซึ่งภายหลังเขาได้รับรางวัลโนเบล สาเหตุที่เรียกวิตามินชนิดนี้ว่าวิตามินเค เพราะมาจากคำว่า Koagulationในภาษาเดนมาร์กมีความหมายว่า การแข็งตัวของเลือด ซึ่งเป็นความสามารถของเลือดในการแข็งตัวและระยะเวลาที่ใช้ในการแข็งตัวของเลือด วิตามินK2 สามารถพบได้ในรูปแบบต่างๆเช่น MK-4 ถึง MK-14 อย่างไรก็ตามรูปแบบMK-10 ขึ้นไป จะพบได้น้อย จำนวนตัวเลขหลังMK หมายถึงความยาวของจำนวนหน่วย isopreneที่มาต่อกัน ในอาหารเสริมมักใช้เฉพาะ MK-7 และ MK-4 เท่านั้น

สำนักงานความปลอดภัยด้านอาหารของสหภาพยุโรป (EFSA) ได้ทำการประเมินหลักฐานการศึกษาของวิตามินเค และได้ให้การรับรองดังต่อไปนี้:

• วิตามินK มีส่วนช่วยในการบำรุงกระดูกให้เป็นปกติ

• วิตามินK ช่วยในการแข็งตัวของเลือดให้ปกติ

วิตามินKกับยา

ผู้ที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือดควรระมัดระวังปริมาณของวิตามินเคที่ได้รับเนื่องจากวิตามินเค อาจลดผลการออกฤทธิ์ของยาได้ อย่างไรก็ตามปริมาณวิตามินเคที่จะส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยาละลายลิ่มเลือดต้องมีขนาด 70-285เท่าของปริมาณวิตามินเคที่ได้จากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไบโอ-แคลเซียม+ดี3+เค

วิตามินเคกับกระดูก

วิตามินเคเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสะสมแคลเซียมไปยังเนื้อเยื่อกระดูกของเรา เนื้อเยื่อกระดูกของเรามีการสลายและสร้างขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการสลายหรือสร้างเนื้อเยื่อกระดูกจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆได้แก่อายุ ระดับของกิจกรรมทางกายและโภชนาการของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามิน K2 ที่มีส่วนร่วมในการขนส่งแคลเซียมให้เข้าสู่เนื้อเยื่อกระดูก เซลล์ที่สร้างกระดูกเรียกว่า osteoblast เซลล์ osteoblast นี้สร้างโปรตีนที่เรียกว่า osteocalcinซึ่งช่วยในการดึงแคลเซียมจากเลือดและหลอดเลือดเพื่อให้ไปเกาะกันที่เนื้อเยื่อกระดูกโดยที่กระบวนการนี้จะถูกกระตุ้นโดยวิตามินเค ดังนั้นวิตามินเคจึงมีส่วนช่วยส่งเสริมการทำงานของกระดูกให้เป็นปกติ

วิตามินเคและการแข็งตัวของเลือด

วิตามินเคเป็นปัจจัยที่จำเป็นในการแข็งตัวของเลือด วิตามินเคมีความจำเป็นในการสร้างสาร prothrombin และสารจำเป็นอื่นๆที่ใช้ในกระบวนการการแข็งตัวของเลือดอันได้แก่ Factors VII, IX และ X วิตามิน K1 สามารถพบได้ในพืชและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลอะโวคา,บร๊อคโคลี่,กะหล่ำปลี, ผักโขมและถั่วเขียว ในอาหาร วิตามิน K2 มักพบในอาหารที่ได้จากสัตว์ได้แก่ เนื้อสัตว์, ตับ,ไข่,ผลิตภัณฑ์จากนม และยังรวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหมัก,ชีส และกะหล่ำปลีดอง ในอาหารที่ได้จากสัตว์จะมีวิตามิน K2 ในรูปแบบ MK-4 เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่แบคทีเรียในลำไส้จะผลิตวิตามิน K2 รูปแบบ MK-7 เป็นส่วนใหญ่

วิตามินเคและแบคทีเรียในลำไส้

ผักและผลไม้ที่ช่วยบำรุงแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ในลำไส้ส่วนใหญ่ประกอบด้วยวิตามิน K1 มากกว่าวิตามิน K2 อย่างไรก็ตามแบคทีเรียในลำไส้เหล่านี้สามารถผลิตวิตามิน K2ได้ในปริมาณน้อยซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย อาหารที่อุดมไปด้วยเส้นใยจึงมีประโยชน์ต่อแบคทีเรียชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย


สั่งซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาไบโอ-แคลเซียม กับ วิตามินเคได้ที่นี่