วิตามินดี3 (Vitamin d3) และส่งเสริมสุขภาพกระดูก-ฟัน-กล้ามเนื้อ และ ระบบภูมิคุ้มกัน

ไบโอ-วิตามินดี3 เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินดี3 ขนาด 5 ไมโครกรัม (200IU-หน่วยสากล) ละลายในน้ำมันมะกอกสกัดเย็น เนื่องจากวิตามินดีเป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน บรรจุในแคปซูลนิ่มที่มีขนาดเล็กรับประทานง่าย จากการศึกษาพบว่าไบโอ-วิตามิน ดี 3 สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดี

วิตามินดีเป็นวิตามินชนิดที่ละลายในไขมัน ดังนั้นจึงต้องใช้อาหารพวกไขมันเพื่อช่วยให้วิตามินดีดูดซึมเข้าสู่ลำไส้เล็ก วิตามินดีมีความจำเป็นต่อร่างกายเช่นเดียวกับวิตามินชนิดอื่นๆ

วิตามินดีมีหลายชนิด แต่ชนิดที่มีความสำคัญมากที่สุดคือ วิตามินดี2(เออร์โกแคลซิเฟอรอล) และ วิตามินดี3 (คอเลแคลซิเฟอรอล) วิตามินดี3 เป็นชนิดที่ผิวหนังสังเคราะห์ได้เองเมื่อสัมผัสกับรังสียูวีหรือแสงแดดในปริมาณที่เพียงพอ วิตามินดีที่สังเคราะห์ได้จากรังสียูวีหรือแสงแดดนั้นเป็นแหล่งของวิตามินดีที่มีประสิทธิภาพ แต่มีข้อจำกัดคือการได้รับรังสียูวีจากแสงแดดอย่างเพียงพอเป็นไปได้เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นอยู่ในระดับสูง

ในประเทศทางยุโรปส่วนใหญ่เราจะสามารถผลิตวิตามินในระดับที่เพียงพอได้เฉพาะช่วงระยะเวลาฤดูร้อน ดังนั้นจึงเป็นช่วงเวลาเดียวของปีที่ร่างกายสามารถผลิตวิตามินในระดับที่เพียงพอ

วิตามินดี2 จะได้จากอาหารเท่านั้น สร้างได้ในเห็ดบางชนิดหรือพืชที่สัมผัสกับรังสียูวี ทั้งวิตามินดี2 และ วิตามินดี3 ต้องอาศัยการ กระตุ้นเปลี่ยนรูปที่ตับและไตเพื่อให้สามารถออกฤทธิ์ได้ในร่างกาย แต่ก่อนเคยมีสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์เชื่อว่าวิตามินดีทั้งสองชนิดมีศักยภาพเท่าๆกัน แต่ทว่าการศึกษาวิจัยในภายหลังพบว่า วิตามินดี3ให้ประสิทธิภาพการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่าวิตามินดี2มากกว่าถึง 56-87%ทีเดียว อย่างไรก็ตามก็ต้องขึ้นอยู่กับวิธีการวัดด้วย นอกจากนี้วิตามินดี3ยังสามารถเก็บสะสมไว้ในเนื้อเยื่อไขมันได้ดีกว่าวิตามินดี2 มากกว่า3 เท่า*

*(วิตามิน ดี 3 มีความแรงมากกว่าวิตามินดี2 ในร่างกายมนุษย์) อ้างอิง: Heaney RP, et al. Vitamin D3 Is More Potent Than Vitamin D2 in Humans. J Clin Endocrinol Metab 2010.

เด็กและผู้อยู่อาศัยในสถานดูแลคนชราหรือสถานพยาบาล ต้องการวิตามินดีในระดับที่มากกว่าผู้ใหญ่

วิตามินดี มีบทบาทที่สำคัญต่อการทำงานของร่างกายในหลายระบบ ดังนี้:

• มีความสำคัญต่อการแบ่งตัวของเซลล์ให้เป็นไปอย่างปกติ
• ช่วยบำรุงสุขภาพกระดูกและฟันให้แข็งแรง
• มีส่วนช่วยในการดูดซึมและใช้ประโยชน์ของแคลเซียมและฟอสฟอรัส
• มีบทบาทต่อการทำงานของทั้งระบบภูมิคุ้มกัน และกล้ามเนื้อ

แหล่งของวิตามินดี

วิตามินดีพบได้น้อยมากในอาหารประเภทพืช พบในระดับต่ำในอาหารจากผลิตภัณฑ์นม และพบในปริมาณที่สูงที่สุดในอาหารที่ได้จากสัตว์บางชนิด ยกตัวอย่างเช่น:

• ปลาที่มีไขมันสูง
• ตับ
• ตับปลาค็อด
• น้ำมันชนิดต่างๆ
• ไข่ และ
• เนย

จากการศึกษาวิจัยพบว่า การได้วิตามินดีเสริมแบบรับประทานเป็นประจำทุกวัน เพิ่มวิตามินดีในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าการรับประทานในปริมาณที่สูงแต่เพียงครั้งละสัปดาห์หรือเดือนละครั้ง

วิตามินดีเสริม เหมาะสำหรับ:

• หญิงตั้งครรภ์
• เด็ก และผู้ใหญ่ที่มีสีผิวเข้ม
• เด็ก และผู้ใหญ่ที่สวมเสื้อผ้าปกปิดมิดชิดในช่วงฤดูร้อน
• ผู้ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในที่ร่ม และ หลีกเลี่ยงแสงแดด
• ผู้ที่พักอาศัยในสถานพยาบาลผู้สูงอายุ
• ผู้ที่มีอายุเกิน 70 ปี
• ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน (ไม่ว่าจะอายุจะมากหรือน้อย)

ผู้ที่เป็นวีแกน (Vegans) และผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรยึดตามคำแนะนำจากทางการเกี่ยวกับการสัมผัสแสงแดดและควรรับประทานวิตามินดีเสริมในช่วงฤดูหนาว

ระดับวิตามินดีในเลือดสามารถวัดได้จากระดับของ 25-hydroxyvitamin D (25-(OH)D) ในหน่วยนาโนโมล/ลิตร (nmol/l) ระดับของวิตามินดีในเลือดสามารถแบ่งได้ตามระดับดังต่อไปนี้:

• <12 nmol/l: ขาดอย่างรุนแรง
• 12-25 nmol/l: ขาด
• 25-50 nmol/l: ไม่เพียงพอ
• >50 nmol/l: เพียงพอ
• 75-150 nmol/l: ระดับที่เหมาะสมในผู้ที่มีภาวะกระดูกเปราะและคนไข้ที่เป็นโรคไต
• > 200 nmol/l: มีมากเกินไป
• หมายเหตุสัญญาลักษณ์:

>= มากกว่า; < = น้อยกว่า

การเปลี่ยนหน่วย:

1 นาโนโมล/ลิตร = 0.4 นาโนกรัม/มิลลิลิตร

การวัดระดับวิตามินดี

เช่นในกรณีของผู้ที่ไม่ค่อยได้สัมผัสแสงแดด หรือรับประทานอาหารที่ให้วิตามินดีไม่เพียงพอ รวมถึงผู้ที่รับประทานยาที่ส่งผลลดการดูดซึมของวิตามินดี จึงเป็นการดีที่กลุ่มคนเหล่านี้จะตรวจสอบระดับวิตามินดีในเลือด นอกเหนือจากปัจจัยที่เห็นได้ชัดที่อาจมีผลให้เกิดการขาดวิตามินดี ดังที่กล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการขาดการสัมผัสกับแสงแดด หรือการรับประทานอาหารที่ด้อยคุณค่าทางโภชนาการ อีกสาเหตุหนึ่งที่ว่ายาบางชนิดอาจส่งผลกระทบต่อการดูดซึมวิตามินดีในร่างกายได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารตัวนี้